สถานที่ท่องเที่ยวในพิษณุโลก

สถานที่ท่องเที่ยวพิษณุโลก

ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวพิษณุโลก

อ.เมือง จังหวัดพิษณุโลก

• เสาหลักเมืองพิษณุโลก ประดิษฐานอยู่ภายในศาลหลักเมือง ริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันตก ตรงข้ามที่ว่าการอำเภอเมือง ออกแบบอาคารโดยกรมศิลปากร เป็นแบบยอดปรางค์ เสาหลักเมืองทำจากไม้มงคลหลายชนิด คือ จากโคนลำต้นถึงลูกฟัก ทำจากไม่ราชพฤกษ์ ท่อนลูกแก้วท่อนบนทำจากไม้ชิงชัน ส่วนยอดบัวตูมประกอบด้วยลูกแก้วทำจากไม้สักทองตายพราย และได้นำไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามที่กรุงเทพฯ
• วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร ชาวบ้านส่วนใหญ่มักเรียกขานกันว่า วัดใหญ่ หรือวัดพระศรี กันจนติดปาก แม้นพระประธานองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานในวิหารคือ “พระพุทธชินราช” ชาวเมืองพิษณุโลกก็นิยมเรียกกันว่า “หลวงพ่อใหญ่” ตามไปด้วย วัดใหญ่นับเป็นพระอารามหลวงที่สำคัญของจังหวัด เพราะเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวเมืองและชาวไทยทั้งประเทศ ตั้งอยู่ที่ถนนพุทธบูชา ตำบลในเมือง ริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก สร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างเมืองเมื่อปี พ.ศ. 1911 บาท ภายในวัดสิ่งโบราณสถานโบราณวัตถุล้ำค่ามากมาย อาทิ
• พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง 5 ศอก 1 คืบ 5 นิ้ว และสูง 7 ศอก ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดในประเทศ เส้นรอบนอกพระวรกายอ่อนช้อย พระขนงโก่ง พระเกตุมาลาเป็นเปลวเพลิง พระหัตถ์มีปลายนิ้วทั้งสี่เสมอกัน ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษเรียกว่า ทีฒงฺคุลี
ซุ้มเรือนแก้วทำด้วยไม้แกะสลักสร้างในสมัยอยุธยา แกะสลักเป็นรูปมกร (ลำตัวคล้ายมังกร มีงวงคล้ายช้าง) อยู่ตรงปลายซุ้ม และตัวเหรา (คล้ายจระเข้) อยู่ตรงกลาง และมีเทพอสุราคอยปกป้ององค์พระอยู่ 2 องค์ พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) แห่งกรุงสุโขทัย โปรดให้สร้างขึ้นพร้อมกับพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดสุทัศน์เทพวรารามและวัดบวรนิเวศวิหารตามลำดับ
• บานประตูประดับมุก ที่ทางเข้าพระวิหารด้านหน้า สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2299 เป็นฝีมือช่างหลวงสมัยอยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมโกศ ตรงกลางประตูมีสันอกเลาประดับลวดลายพุ่มข้าวบิณฑ์ สองข้างเป็นลายกนกก้านแย่ง ช่วงกลางอกเลามีรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน เรียกว่า “นมอกเลา” เป็นรูปบุษบก มีรูปพระอุณาโลมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ประดิษฐานบนบัลลังก์อยู่ในบุษบก สองข้างเป็นรูปชุมสายซึ่งเป็นเครื่องสูงชนิดหนึ่ง เป็นรูปฉัตรสามชั้น ใต้ฐานบุษบกมีหนุมานแบกฐานไว้ ส่วนเชิงล่างของอกเลาทำเป็นรูปกุมภัณฑ์ยืนถือกระบองท่าสำแดงฤทธิ์ ส่วนลวดลายบานประตูเป็นลายกนกที่มีภาพสัตว์หิมพานต์ เช่น ราชสีห์ คชสีห์ เหมราช ครุฑ กินรีรำ และภาพสัตว์อื่น ๆ และยังมีลาย “อีแปะ” ด้านละ 9 วงมัดนกหูช้างประกอบช่องไฟระหว่างวงกลม หรือวงกลมเป็นลายกรุยเชิง มีลายประจำยามก้ามปูประดับขอบรอบบานประตู เดิมบานประตูวิหารพระพุทธชินราชทำด้วยไม้สักแกะสลัก เมื่อทำบานประตูประดับมุกเสร็จแล้ว บานประตูเก่าได้นำไปประดับประตูวิหารพระแท่นศิลาอาสน์ จังหวัดอุตรดิตถ์
• พระเหลือ พระยาลิไทรับสั่งให้ช่างนำเศษทองสัมฤทธิ์ที่เหลือจากการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา มารวมกันหล่อพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดเล็ก และพระสาวกยืนอีก 2 องค์ ส่วนอิฐที่ก่อเตาสำหรับหลอมทองได้นำมารวมกันบนฐานชุกชี พร้อมกับปลูกต้นมหาโพธิ์ 3 ต้นบนชุกชี เรียกว่า โพธิ์สามเส้า ระหว่างต้นโพธิ์ได้สร้างวิหารน้อยขึ้นหนึ่งหลัง อัญเชิญพระเหลือกับพระสาวกไปประดิษฐาน เรียกว่า “วิหารพระเหลือ”
• พระอัฏฐารส เป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติด้านหลังพระวิหาร สูง 18 ศอก สร้างในสมัยเดียวกับพระพุทธชินราช ราว พ.ศ. 1811 เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหารใหญ่แต่วิหารได้พังไปจนหมด เหลือเพียงเสาที่ก่อด้วยศิลาแลงขนาดใหญ่ 3-4 ต้น เรียกว่า “เนินวิหารเก้าห้อง”
• พระปรางค์ประธาน ศิลปสมัยอยุธยาตอนต้น ฐานย่อเหลี่ยมไม้ยี่สิบ เดิมเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์แบบสุโขทัยแท้ ต่อมาถูกแปลงให้เป็นพระปรางค์ในสมัยอยุธยา
• วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เปิดทุกวัน เวลา 6.31-18.11 น. ส่วนพิพิธภัณฑ์ในวัดเปิดเวลา 8.31-16.31 น.
• วัดราชบูรณะ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก ทางใต้ของวัดพระศรีมหาธาตุ พระอุโบสถมีลักษณะพิเศษคือ ที่ชายคาตกแต่งด้วยนาค 3 เศียร มีลักษณะอ่อนช้อยงดงาม พิจารณาดูตามชื่อแล้ว วัดราชบูรณะน่าจะเป็นวัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง เชื่อว่าเป็นสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ เนื่องจากทรงประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลกถึง 25 ปี และทรงมีบทบาททางบำรุงพระศาสนาที่พิษณุโลกมากที่สุด
• วัดนางพญา ตั้งอยู่บริเวณเดียวกับวัดราชบูรณะ ถัดไปทางทิศตะวันออก มีลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยเดียวกับวัดราชบูรณะ ต่างกันที่วัดนางพญาไม่มีพระอุโบสถมีแต่วิหาร วัดนี้มีชื่อเสียงในด้านพระเครื่อง เรียกว่า “พระนางพญา” ซึ่งเล่าลือกันถึงความศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันหาได้ยากมาก มีก็แต่ที่ได้สร้างจำลองขึ้นภายหลัง มีการพบกรุพระเครื่องครั้งแรกใน พ.ศ. 2444 และครั้งหลังเมื่อ พ.ศ. 2497
• วัดเจดีย์ยอดทอง ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองพิษณุโลก บนถนนพญาเสือ ทางเดียวกับวัดอรัญญิก ปัจจุบันเหลือเพียงเจดีย์ทรงดอกบัวตูมที่เป็นศิลปสุโขทัยเพียงองค์เดียวที่พบในพิษณุโลก เจดีย์มีฐานกว้างประมาณ 9 เมตร สูง 21 เมตร เฉพาะที่ยอดทรงดอกบัวตูมนั้น ได้เห็นรอยกระเทาะของปูนทำให้แลเห็นการเสริมยอดโดยการพอกปูนเพิ่มที่ยอดแหลมของดอกบัว
• วัดจุฬามณี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก ห่างจากตัวเมืองพิษณุโลกไปทางใต้ตามถนนบรมไตรโลกนารถ ประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นโบราณสถานที่มีมาก่อนสมัยสุโขทัย เคยเป็นที่ตั้งของเมืองสองแควเก่า ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถทรงสร้างพระวิหารและเสด็จออกผนวชที่วัดนี้ เมื่อ พ.ศ. 2117 เป็นเวลา 8 เดือน 15 วัน โดยมีข้าราชบริพาร ออกบวชตามเสด็จถึง 2,348 รูป มีโบราณสถานสำคัญคือ ปรางค์แบบขอมขนาดย่อม ฐานกว้าง 11 เมตร ยาว 18 เมตร ก่อด้วยศิลาแลง ด้านหน้าก่อเป็นแบบตรีมุข ตั้งบนฐานสูงซ้อนกันสามชั้น แต่ละชั้นย่อมุมไม้ยี่สิบ มีปูนปั้นประดับลวดลายตามขั้น ตอนล่างแถบหน้ากระดานและบัวหน้ากระดานเป็นลายหงส์ เหมือนกับองค์ปรางค์ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดลพบุรี สมัยที่ยังสมบูรณ์อยู่มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ใกล้เคียงกันมีมณฑปพระพุทธบาทจำลองซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้โปรดให้สร้างขึ้น แผ่นจารึกหน้ามณฑปมีใจความสรุปได้ว่า เมื่อ พ.ศ. 2221 สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงมีพระบรมราชโองการให้ใช้ผ้าทาบรอยพระพุทธบาท สลักลงบนแผ่นหิน พระราชทานไว้เป็นที่กราบไหว้ของฝูงชน
• ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตั้งอยู่ในบริเวณโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ซึ่งเป็นพระราชวังจันทน์มาก่อนในอดีต ตัวศาลเป็นศาลาทรงไทยโบราณตรีมุข พระรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมีขนาดเท่าองค์จริง ประทับนั่ง พระหัตถ์ทรงพระสุวรรณภิงคารหลั่งน้ำในพระอิริยาบถประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง สร้างโดยกรมศิลปากร เสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2414 มีการจัดงานสักการะพระบรมรูปในวันที่ 25 มกราคมของทุกปี
• เมื่อเดือนมีนาคม 2535 กรมศิลปากรได้ขุดค้นพบแนวเขตพระราชฐานพระราชวังจันทน์ ซึ่งเป็นสถานที่พระราชสมภพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งนับว่าเป็นการขุดค้นทางโบราณคดีและทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของจังหวัด ในปัจจุบัน กรมศิลปากรได้กลบหลุมขุดเพื่อเป็นการอนุรักษ์โบราณสถานไว้ จนกว่าจะได้มีการขุดค้นอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง
• กำแพงเมืองคูเมือง เดิมเป็นกำแพงดินเช่นเดียวกับกำแพงเมืองสุโขทัย คาดว่าสร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถเพื่อเตรียมรับศึกพระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ได้โปรดให้ซ่อมแซมกำแพงเมืองอีกครั้งเพื่อเตรียมรับศึกพม่า ครั้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้โปรดให้ช่างฝรั่งเศสสร้างกำแพงใหม่โดยก่ออิฐให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดให้รื้อกำแพงเมืองและป้อมต่าง ๆ เสีย เพื่อไม่ให้พม่าซึ่งรุกรานไทยยึดเป็นที่มั่น กำแพงเมืองที่เห็นได้ชัดเจนในขณะนี้คือ บริเวณวัดโพธิญาณ วัดน้อย และบริเวณสถานีตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก สำหรับคูเมือง พบเห็นได้ตามแนวที่ขนานกับถนนพระร่วง (หลังสถาบันราชภัฏพิบูลสงคราม)
• พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี (จ่าสิบเอกทวี-พิมพ์ บูรณเขตต์) ตั้งอยู่ที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ ในตัวเมืองพิษณุโลก เป็นที่เก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้พื้นบ้าน ซึ่งเป็นเครื่องมือทำมาหากินของชาวบ้านในอดีต ตั้งแต่ชิ้นเล็ก ๆ จนถึงชิ้นใหญ่ เช่น เครื่องจักสาน เครื่องปั้นดินเผา เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ
เช่น เครื่องวิดน้ำด้วยมือ เครื่องสีข้าว เครื่องมือดักจับสัตว์ รวมกันแล้วนับหมื่นชิ้น จนได้รับการยอมรับว่าเป็นขุมทรัพย์ทางประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาไทย และได้รับรางวัลยอดเยี่ยมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยประเภทหน่วยงานส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยว เมื่อปี 2541
จ่าสิบเอก ดร. ทวี บูรณเขตต์ ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ เป็นผู้ที่มีฝีมือในทางประติมากรรม และได้รับการเชิดชูเกียรติมากมาย ท่านได้รับการยกย่องให้เป็น “บุคคลดีเด่นทางวัฒนธรรมสาขาการช่างฝีมือ แขนงช่างหล่อ” ประจำปี 2526 และได้รับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒและมหาวิทยาลัยศิลปากร รวมทั้งการประกาศเกียรติคุณเป็น “คนดีศรีพิษณุโลก”
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งนี้ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันจันทร์ โดยไม่เก็บค่าเข้าชม ตั้งแต่เวลา 8.11–16.31 น. โทร. (055) 212749, 258715 ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ เป็นโรงหล่อพระบูรณะไทย ติดต่อเข้าชมการหล่อพระล่วงหน้า โทร. (055)258715
• หอศิลปและวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยนเรศวร ตั้งอยู่ในบริเวณศูนย์วิทยบริการ มหาวิทยาลัยนเรศวร (ส่วนสนามบิน) ถนนสนามบิน อำเภอเมือง จัดตั้งขึ้นเพื่อเผยแพร่และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของชาติ ภายในจัดแสดงผลงานศิลปกว่าร้อยชิ้นของศิลปินที่มีชื่อเสียงของไทย อาทิ สวัสดิ์ ตันติสุข พูน เกษจำรัส ประยูร อุลุชาฎะ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ ประเทือง เอมเจริญ และชวลิต เสริมปรุงสุข เป็นต้น และยังมีนิทรรศการเกี่ยวกับ วิถีชุมชนภาคเหนือตอนล่าง จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องมือทำมาหากินต่าง ๆ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ไม่เว้นวันหยุด ระหว่างเวลา 9.11–18.11 น. โทร. (055) 231721
• พิพิธภัณฑ์ผ้า มหาวิทยาลัยนเรศวร จัดแสดงที่ชั้นสองของอาคารเอนกประสงค์ในมหาวิทยาลัยนเรศวร (ทุ่งหนองอ้อ) ประกอบด้วยห้องจัดแสดงนิทรรศการต่าง ๆ จัดแสดงผ้า ผลิตภัณฑ์จากผ้า ที่นำมาจากแหล่งต่าง ๆ ของประเทศไทยและต่างประเทศ มีบริการข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับการวิจัยและเอกสารเกี่ยวกับการผลิต การศึกษาเรื่องผ้าประเภทต่าง ๆ รวมทั้งจัดแสดงชุดฉลองพระองค์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถซึ่งพระราชทานแก่มหาวิทยาลัยนเรศวร ผู้สนใจสามารถเข้าชมได้ในวันและเวลาราชการ (จันทร์-ศุกร์ 9.11–15.11 น.) โทร. (055) 261111-4

อำเภอวัดโบสถ์
• อุทยานแห่งชาติแก่งเจ็ดแคว ครอบคลุมพื้นที่ป่าเขาในเขต 4 อำเภอของพิษณุโลก คือ วังทอง วัดโบสถ์ นครไทย และชาติตระการ เป็นแหล่งต้นน้ำหลายสายที่ไหลลงสู่ลำน้ำแควน้อย แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเขตอุทยานฯคือ น้ำตกแก่งเจ็ดแคว อันเป็นที่รวมของธารน้ำสายย่อย ๆ จำนวน 7 สาย การเดินทางจากพิษณุโลก ใช้เส้นทางพิษณุโลก-หล่มสัก 6 กิโลเมตร แยกซ้ายไปอำเภอวัดโบสถ์ (ทางหลวงหมายเลข 11) ประมาณ 25 กิโลเมตร ก่อนขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำแควน้อย มีทางแยกขาวไปบ้านนาขามอีก 15 กิโลเมตร เดินทางต่อไปอีก 9 กิโลเมตรถึงอุทยานฯ (เส้นทางบางช่วงเป็นทางลูกรัง)
• เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาน้อย-เขาประดู่ มีพื้นที่กว่า 81,111 ไร่ ได้รับการประกาศจัดตั้งเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2541 ที่ตั้งสำนักงานเขตฯตั้งอยู่ที่บริเวณบ้านป่าคาย หมู่ที่ 2 ตำบลบ้านนายาง อำเภอวัดโบสถ์ ห่างจากตัวเมือง 45 กิโลเมตร การเดินทางใช้เส้นทางเดียวกับอุทยานแห่งชาติแก่งเจ็ดแคว จากพิษณุโลกเดินทางไปอำเภอวัดโบสถ์ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 12 ระยะทาง 6 กิโลเมตร แยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 11 อีก 25 กิโลเมตร ก่อนขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำแควน้อยมีทางแยกไปบ้านนาขามตามเส้นทาง 1221 อีก 8 กิโลเมตร มีป้ายบอกทางเข้าเขตห้ามล่าฯอีก 6 กิโลเมตร เป็นทางลูกรังและมีจุดที่ต้องขับผ่านธารน้ำไหล จำเป็นต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อในช่วงฤดูฝน
เขาน้อย-เขาประดู่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางระหว่าง 111-511 เมตร ประกอบด้วยป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และทุ่งหญ้า มีความหลากหลายทางด้านพืชพรรณ มีดอกไม้ตามฤดูกาลที่สวยงามคือดอกกระเจียวและกล้วยไม้ และยังเป็นแหล่งค้นพบปูพันธุ์ใหม่ ที่เรียกว่า ปูแป้ง หรือ ปูสองแคว เหมาะแก่การท่องเที่ยวทัศนศึกษาเชิงนิเวศในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงธันวาคม ผู้สนใจเดินเท้าตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ทางเขตฯได้ทำไว้หรือติดต่อพักแรม สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานเขตได้โดยตรงหรือติดต่อล่วงหน้าที่ สำนักงานเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาน้อย-เขาประดู่ หมู่ 2 ต.บ้านยาง อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก 65111

อำเภอชาติตระการ
• อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ มีชื่อเรียกตามชาวบ้านว่า น้ำตกปากรอง ตั้งอยู่ที่บ้านปากรอง ตำบลชาติตระการ อำเภอชาติตระการ ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 145 กิโลเมตร เป็นน้ำตกที่สวยงามมากในจังหวัดพิษณุโลก มีถึง 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความงดงามต่างกันออกไป และตั้งชื่อตามนามธิดาท้าวสามลในวรรณคดีไทยเรื่องสังข์ทอง โดยเฉพาะชั้นที่ 3 และ4 น้ำตกจากหน้าผาสูงประมาณ 11 เมตร แผ่เป็นฝอยกระจายทั่ว ชั้นที่เป็นแอ่งใหญ่ที่สุดคือ ชั้นที่ 1 การปีนเขาเพื่อขึ้นชมน้ำตกทั้งเจ็ดชั้นน่าสนุกมาก บางตอนก็เป็นที่สูงชันต้องอาศัยเถาวัลย์ห้อยโหนขึ้นไป บางตอนเป็นช่องแคบ ๆ ต้องเอียงตัวเดิน บางตอนก็ต้องคลาน แต่เมื่อไปถึงบริเวณน้ำตกแล้วจะหายเหนื่อยทันที
• การเดินทางไปน้ำตกชาติตระการนั้น หากเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวให้ใช้เส้นทางสายพิษณุโลก-หล่มสัก เมื่อถึง กม. ที่ 68 (บ้านแยง) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางหลวงหมายเลข 2113 ซึ่งเป็นเส้นทางสู่อำเภอนครไทยประมาณ 29 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอชาติตระการไปอีกประมาณ 38 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวาอีก 11 กิโลเมตรก็จะถึงน้ำตก หากเดินทางโดยรถประจำทางให้ขึ้นรถสายพิษณุโลก-ชาติตระการที่สถานขนส่งพิษณุโลก รถออกวันละ 7 เที่ยว ตั้งแต่เวลา 6.11-16.31 น. เมื่อถึงอำเภอชาติตระการแล้วต่อรถสองแถวชาติตระการ-บ้านนาดอนเข้าไปยังน้ำตก
• อุทยานฯมีบ้านพักบริการนักท่องเที่ยว ติดต่อได้ที่กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ กรุงเทพฯ หรือที่อุทยานฯได้โดยตรง และสามารถนำเต็นท์มากางเอง
• อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ครอบคลุมพื้นที่ในเขตอ. ชาติตระการ จ.พิษณุโลก และ อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงตามแนวชายแดนไทย-ลาว บริเวณที่สูงที่สุดคือ ยอดภูสอยดาว สูงถึง 2,112 เมตร อากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี สภาพป่าส่วนใหญ่ยังอุดมสมบูรณ์ มีทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่เคยเป็นที่ทำกินของชาวเขาเผ่าม้ง แหล่งท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯได้แก่ ป่าสน ทุ่งดอกไม้ หน้าผาจุดชมวิว น้ำตกสายทิพย์ และน้ำตกภูสอยดาว พื้นที่ป่าสนสามใบ เหมาะแก่การมาเที่ยวชมในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน เนื่องจากจะพบเห็นทะเลหมอกและดอกไม้ต่าง ๆ โดยเฉพาะดอกหงอนนาคขึ้นอยู่ทั่วไป และกล้วยไม้ป่าตามคาคบไม้ใหญ่ ระยะทางเดินทางจากเชิงเขา 6.5 กิโลเมตร บางช่วงเป็นเส้นทางชัน ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง มีสถานที่กางเต็นท์และห้องสุขาบริการ
การเดินทาง
• รถส่วนตัว 1. ใช้เส้นทาง พิษณุโลก-อ.วัดโบสถ์-บ้านโป่งแค-อ.ชาติตระการ-ภูสอยดาว ระยะทาง 177 กิโลเมตร 2. ใช้เส้นทางพิษณุโลก-บ้านแยง-อ.นครไทย-อ.ชาติตระการ-ภูสอยดาว ระยะทางรวม 154 กิโลเมตร
• รถโดยสาร / รถไฟ 1. เดินทางโดยรถไฟหรือรถโดยสารจากกรุงเทพฯ ไปพิษณุโลก แล้วต่อรถโดยสารไปอำเภอชาติตระการ และโดยสารรถสองแถวสายชาติตระการ-บ้านร่มเกล้า รถออกทุกชั่วโมง ระหว่างเวลา 9.11-16.11 น. จากนั้นต้องจ้างเหมารถจากบ้านร่มเกล้าไปยังอุทยานฯ หรือจะเช่าเหมาจากอำเภอชาติตระการไปยังอุทยานฯเลยก็ได้ ราคาประมาณ 511 บาทต่อเที่ยว 2. เดินทางโดยรถไฟหรือรถโดยสารจาก กรุงเทพฯ ไปอุตรดิตถ์ ต่อรถโดยสารที่ตลาดต้นโพธิ์หรือหอนาฬิกาไปอำเภอน้ำปาด ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ลงรถที่หน้าโรงพยาบาลอำเภอน้ำปาด และเหมารถสองแถวไปภูสอยดาว ราคาประมาณ 311 บาท ใช้เวลาเดินทางอีก 3 ชั่วโมง (เป็นเส้นทางคดโค้งผ่านภูเขา)
• บริเวณที่ทำการอุทยานฯ มีบ้านพักรับรอง 3 หลัง ติดต่อล่วงหน้า โทร. (055)419234 หรือที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ตำบลห้วยมุ่น อ. น้ำปาด จ. อุตรดิตถ์ 53111 การพักค้างแรมบนลานสน ต้องนำเต็นท์มาเอง ติดต่อลูกหาบได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว

อำเภอวังทอง
• วัดราชคีรีหิรัญยาราม ตั้งอยู่ที่บ้านสมอแคลง ในเขตอำเภอวังทอง เดินทางจากตัวเมืองพิษณุโลกไปตามทางหมายเลข 12 (เส้นทางสายพิษณุโลก-หล่มสัก) ประมาณ 14 กิโลเมตร (ก่อนถึงอำเภอวังทอง 3 กิโลเมตร) มีทางแยกซ้ายไปอีก 511 เมตร บนเขาสมอแคลงมีสระน้ำเรียกว่า “สระสองพี่น้อง”มีน้ำตลอดปี คนโบราณจึงได้สร้างวัดไว้ถึง 7 วัด แต่บัดนี้ร้างไปหมดแล้ว สำหรับวัดราชคีรีหิรัญยารามหรือวัดพระพุทธบาทเขาสมอแคลงนี้ เดิมเป็นวัดร้าง และมีพระสงฆ์มาจำพรรษาเพื่อ พ.ศ. 2496 ในบริเวณวัดมีรอยพระพุทธบาทจำลอง และบนเขาซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของวัดมีรอยพระบาทตะแคงอยู่กับหน้าผา มีงานนมัสการพระพุทธบาทในกลางเดือน 3 เป็นประจำทุกปี
• เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ. 2535 ได้มีการอัญเชิญพระโพธิสัตว์กวนอิม ซึ่งแกะสลักจากหินทะเลสาบหยกขาวจากเมืองหางโจว ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นปางพิเศษที่ได้รับอนุมัติให้สร้างโดยรัฐบาลจีนโดยใช้ต้นแบบจากวัดเจ้าแม่กวนอิมพันมือเมืองหางโจว มีขนาดสูง 3 เมตร หนัก 3 ตัน มาประดิษฐาน ณ วัดแห่งนี้
• น้ำตกวังนกแอ่นหรือสวนรุกชาติสกุโณทยาน ตั้งอยู่ที่บริเวณ กม. 33 ทางหลวงหมายเลข 12 (พิษณุโลก-หล่มสัก) แยกขวาไปอีก 1 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดเล็กในลำธารวังทอง อันมีต้นกำเนิดมาจากลำน้ำเข็ก บริเวณทั่วไปร่มรื่นด้วยพรรณไม้ต่าง ๆ มีป้ายชื่อต้นไม้กำกับไว้ ด้านทิศตะวันตกมีพลับพลาสร้างขึ้นเพื่อรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คราวเสด็จประพาสภาคเหนือ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2511 ด้านทิศตะวันออกมีศาลาริมน้ำ ใช้เป็นที่ประทับทอดพระเตนรทิวทัศน์สองฝั่งลำน้ำวังทอง ก่อนถึงตัวน้ำตก 511 เมตรมีป้ายบอกทางเลี้ยวขวาไปยังแก่งไทร ซึ่งเป็นแก่งหินคั่นกลางลำน้ำเป็นขั้น ๆ เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ
• น้ำตกแก่งซอง อยู่ริมทางหลวงหมายเลข 12 กม.45 มีขนาดใหญ่กว่าน้ำตกสกุโณทยาน มีร้านค้า บ้านเรือนต่าง ๆ ตั้งอยู่ริมน้ำตก
• น้ำตกปอย ระหว่าง กม. ที่ 59-61 ทางหลวงหมายเลข 12 มีทางแยกไปน้ำตกปอยอีก 2 กิโลเมตร บริเวณสวนป่ากระยาง ในความดูแลขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เป็นน้ำตกที่มีทัศนียภาพสวยงาม สภาพโดยรอบร่มรื่นเหมาะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
• น้ำตกแก่งโสภา เส้นทางพิษณุโลก-หล่มสัก อยู่บริเวณกม.ที่ 71-72 มีทางแยกเข้าไป 2 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ในลำน้ำเข็ก มีความสูงราว 41 เมตร สภาพโดยรอบร่มรื่น ตอนบนเป็นแผ่นหินเรียบ ส่วนตอนล่างเป็นโขดหินใหญ่ ในช่วงฤดูน้ำหลากสายน้ำจะไหลเชี่ยวกราก ส่วนในช่วงที่น้ำน้อยจะแลเห็นน้ำตกไหลลดหลั่นเป็นชั้นต่าง ๆ 3 ชั้น ค่าธรรมเนียมเข้าชมสำหรับชาวไทยคนละ 11 บาท
• อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง มีพื้นที่ 789,111 ไร่ ในท้องที่จังหวัดพิษณุโลกและเพชรบูรณ์ ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2518 สภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อน เป็นต้นน้ำลำธารหลายสายที่ไหลลงสู่แม่น้ำน่าน ที่ทำการอุทยานฯตั้งอยู่ที่ กม. 81 เส้นทางสายพิษณุโลก-หล่มสัก นักท่องเที่ยวสามารถขอข้อมูลเดินทางศึกษาธรรมชาติ รวมทั้งใช้บริการที่พักและกางเต็นท์พักแรมได้
• แหล่งท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ได้แก่ น้ำตกต่าง ๆ บนเส้นทางสายพิษณุโลก-หล่มสัก เช่นน้ำตกแก่งโสภา น้ำตกวังนกแอ่น ส่วนพื้นที่ทางด้านตะวันออกและตอนกลางของอุทยานฯ ในเขตอ.เขาค้อ จ,เพชรบูรณ์ เป็นบริเวณป่าสนและทุ่งหญ้าสะวันนา ได้แก่ ทุ่งแสลงหลวง ทุ่งพญา ทุ่งโนนสน ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมไปเดินป่าและกางเต็นท์พักแรม สามารถติดต่อได้ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ สล.8 (หน่วยฯหนองแม่นา)
• การเดินทางไปหน่วยฯ หนองแม่นา
• รถส่วนบุคคล จากบ้านแค้มป์สนที่ กม.111 เส้นทางพิษณุโลก-หล่มสัก แยกไปตามทาง 2196 ทางไปเขาค้อ จนถึงตลาดพัฒนา เลี้ยวขวาเข้าทาง 2325 จนถึงบ้านทานตะวัน มีทางไปหน่วยจัดการอุทยานฯ (หนองแม่นา) อีก 3 กิโลเมตร รวมระยะทางจากบ้านแค้มป์สน 35 กิโลเมตร
• รถโดยสาร จากสถานีขนส่งพิษณุโลกโดยสารรถประจำทางสายพิษณุโลก-หล่มสัก ลงรถที่บ้านแค้มป์สน (กม.111) จากนั้นจ้างเหมารถสองแถวที่ปากทางแค้มป์สนไปยังหน่วยฯหนองแม่นา หรือเช่ารถสองแถวจากบริษัทรถเช่าในพิษณุโลกไปยังหน่วยฯหนองแม่นาเลยก็ได้

อำเภอเนินมะปราง
• ถ้ำบ้านมุง บ้านมุงถือเป็นดินแดนแห่งถ้ำอย่างแท้จริง ภูมิประเทศบ้านมุง ภูมิประเทศเป็นเทือกเขาหินปูนสลับซับซ้อน ยอดตะปุ่มตะป่ำดูแปลกตา เกิดถ้ำน้อยใหญ่มากมาย ผู้ที่มาเที่ยวถ้ำที่บ้านมุงควรแวะมาที่หน่วยพิทักษ์อุทยานฯ สล.6 ซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำเดือนถ้ำดาวก่อน เพื่อขอคำแนะนำในการเที่ยวถ้ำต่าง ๆ จากเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย
• ถ้ำเดือน-ถ้ำดาว เป็นแหล่งท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ทางด้านทิศตะวันตก ในความดูแลของหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ สล.6 บ้านมุง มีลักษณะเป็นถ้ำน้ำลอด ทางขึ้นปากถ้ำเป็นธารน้ำไหลผ่านโขดหินน้อยใหญ่ซึ่งต้องปีนป่ายขึ้นไป ในถ้ำมีลักษณะคล้ายห้องโถงที่มีธารน้ำไหลผ่าน มีความยาว 1.4 กิโลเมตร สวยงามด้วยหินงอกหินย้อย ช่วงที่เหมาะแก่การชมถ้ำคือ ในช่วงฤดูแล้ง และต้องนำไฟฉายติดตัวไปด้วย ช่วงฤดูฝนไม่เหมาะแก่การเที่ยวชมเนื่องจากปริมาณน้ำมากและอันตราย การเดินทาง จากตัวเมืองใช้เส้นทางหมายเลข 12 พิษณุโลก-วังทอง แยกขวาเข้าทางหลวงสาย 11 ไปสากเหล็ก และแยกซ้าย 1115 ไปตัวอำเภอเนินมะปราง และเดินทางต่ออีก 6 กิโลเมตรถึงบริเวณถ้ำ รวมระยะทางห่างจากตัวเมืองพิษณุโลก 85 กิโลเมตร
• เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาท่าพล ครอบคลุมเนื้อที่ 1,775 ไร่ ในท้องที่อำเภอเนินมะปราง ห่างจากตัวเมืองพิษณุโลก 85 กิโลเมตร การเดินทางเริ่มจากตัวเมืองพิษณุโลกไปตามทางหลวงหมายเลข 12 ถึงอำเภอวังทองระยะทาง 21 กิโลเมตร แยกขวาไปยังอำเภอสากเหล็กอีก 38 กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 11 แล้วแยกซ้ายเข้าทางหลวง 1115 อีก 17 กิโลเมตร ถึงโรงเรียนเนินมะปรางศึกษาวิทยา (ก่อนถึงตัวอำเภอ 2 กิโลเมตร) มีแยกขวาไปถ้ำผาท่าพลอีก 11 กิโลเมตร เส้นทางบางช่วงเป็นทางลูกรัง ในฤดูฝนควรใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ
• พื้นที่บริเวณนี้เป็นภูเขาหินปูน ยอดสูงสุด 236 เมตร มีหน้าผาสูงชันเว้าแหว่ง อันเกิดจากการกัดเซาะของน้ำฝนนับหลายล้านปี เกิดเป็นถ้ำต่าง ๆ มากมายทั่วบริเวณ ได้แก่ ถ้ำนเรศวร ถ้ำเรือ ที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม ถ้ำลอด ซึ่งสามารถเดินทะลุไปยังอีกด้านหนึ่งของภูเขาได้ นอกจากนี้ยังพบซากดึกดำบรรพ์ของหอยและปะการัง เนื่องจากบริเวณนี้เคยเป็นท้องทะเลมาก่อน และยังมีภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์รูปมือคนบนเพิงผาหิน และอักษรญี่ปุ่นโบราณสลักบนก้อนหิน พรรณไม้และร่องรอยสัตว์ป่าต่าง ๆ ที่มักพบระหว่างทางเดินเท้าศึกษาธรรมชาติ เหมาะแก่การทัศนศึกษาเชิงนิเวศ นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อขอข้อมูลได้เจ้าหน้าที่เมื่อเดินทางมาถึงยังสำนักงานเขต การเที่ยวชมถ้ำต่าง ๆ ต้องนำไฟฉายติดตัวมาด้วย ในช่วงฤดูฝนถ้ำบางแห่งไม่สามารถเข้าชมได้เนื่องจากมีน้ำท่วมพื้นถ้ำ หากต้องการพักค้างแรมหรือทัศนศึกษาเป็นหมู่คณะติดต่อล่วงหน้าได้ที่ สำนักงานเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาท่าพล หมู่ 6 ต.บ้านมุง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก 65191

อำเภอนครไทย
• อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัดคือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย ครอบคลุมพื้นที่ 191,875 ไร่ ประกาศเป็นอุทยานฯ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2527 ภูหินร่องกล้ามียอดเขาสูง 1,617 เมตร มีทิวทัศน์สวยงาม ปกคลุมด้วยป่าเต็งรัง ป่าดิบเขา และป่าสนเขา มีสนสองใบและสนสามใบขึ้นปะปนกัน และพบกล้วยไม้ดอกไม้ป่าหลายชนิดขึ้นอยู่ตามลานหิน
• ภูหินร่องกล้าเคยเป็นศูนย์กลางที่ตั้งฐานที่มั่นการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของภาคเหนือ ซึ่งเป็นศูนย์กลางแพร่กระจายลัทธิคอมมิวนิสต์ไปสู่เขาค้อ ภูขัด และภูเมี่ยง จนเกิดเป็นปัญหาความมั่นคงทางการเมือง เมื่อเหตุการณ์สงบลงในปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2525 ได้มีการตัดเส้นทางผ่านใจกลางภูหินร่องกล้าและจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติขึ้น จนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของภาคเหนือตอนล่างในปัจจุบัน
แหล่งท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ได้แก่
• พิพิธภัณฑ์ ตั้งอยู่บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จัดแสดงนิทรรศการเรื่องราวการใช้ชีวิต และการสู้รบของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) รวมทั้งจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธต่าง ๆ
• ทางเดินโลกที่สาม เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ผ่านภูมิทัศน์ที่สวยงาม และสถานที่สำคัญของ พคท. ได้แก่ สำนักอำนาจรัฐ เป็นสถานที่ดำเนินการทางการปกครอง พิจารณาลงโทษผู้กระทำผิด มีคุก สถานที่ทอผ้าและโรงซ่อมเครื่องจักรกล ที่หลบภัยทางอากาศ เป็นโพรงถ้ำกว้างขวางจุคนได้กว่า 211 คน ผาชูธง เป็นจุดที่คอมมิวนิสต์ชักธงแดงทุกครั้งที่รบชนะลานหินปุ่ม เต็มไปด้วยหินปุ่มตะป่ำเป็นบริเวณกว้างดูแปลกตา เกิดจากการสึกกร่อนของหินโดยธรรมชาติ เคยใช้เป็นที่พักฟื้นคนไข้
• โรงเรียนการเมือง การทหาร อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 6 กิโลเมตร เคยใช้เป็นสถานที่ให้การศึกษาตามแนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์ มีบ้านพักฝ่ายพลเรือน ฝ่ายพลาธิการ และสถานพยาบาล กระจายตัวอยู่ใต้ร่มไม้แน่นทึบ ประมาณ 31 หลัง กระจายอยู่ภายใตัผืนป่ารกทึบ ในบริเวณใกล้เคียงยังมี สุสานทหาร และกังหันน้ำสำหรับสีข้าว
• น้ำตกร่มเกล้า-ภราดร ห่างจากโรงเรียนการเมืองประมาณ 611 เมตร มีทางแยกเดินลงน้ำตกร่มเกล้าก่อน จากนั้นเดินลงไปประมาณ 211 เมตร จะเป็นน้ำตกภราดร ที่เกิดจากลำธารเดียวกัน
• ลานหินแตก เป็นลานหินกว้างมีรอยแตกคล้ายแผ่นดินแยก ตามซอกหินพบไม้ประเภทมอสส์ ไลเคน เฟิร์น และกล้วยไม้
• น้ำตกศรีพัชรินทร์ ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับทหารจากค่ายศรีพัชรินทร์ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นทหารหน่วยแรกที่ขึ้นมาบนภูหินร่องกล้า น้ำตกศรีพัชรินทร์มีความสูงประมาณ 21 เมตร มีแอ่งใหญ่ที่เหมาะสำหรับเล่นน้ำ
• น้ำตกหมันแดง เป็นน้ำตกที่มีชั้นต่าง ๆ รวม 32 ชั้น เกิดจากห้วยน้ำหมัน ซึ่งมีน้ำตลอดปี อยู่บนเส้นทางสายภูหินร่องกล้า-หล่มเก่า กม. 18 มีทางเดินเท้าเข้าสู่น้ำตกอีก 3.5 กิโลเมตร
การเดินทาง
• รถส่วนบุคคล จากพิษณุโลกใช้เส้นทางหมายเลข 12 (พิษณุโลก-หล่มสัก) เลี้ยวซ้ายที่บ้านแยง กม. 68 เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2113 ไปอีก 28 กิโลเมตร ถึงอำเภอนครไทย แล้วเลี้ยวขวาตามทางหลวงหมายเลข 2331 ไปภูหินร่องกล้าอีก 31 กิโลเมตร
• นอกจากนี้ภูหินร่องกล้ายังสามารถเข้าถึงได้จากด้านจังหวัดเพชรบูรณ์โดยใช้เส้นทางหล่มเก่า-ทับเบิก-ภูหินร่องกล้า แต่เส้นทางนี้ค่อนข้างสูงชัน และคดเคี้ยวมาก เหมาะเป็นทางลงมากกว่า
• หมายเหตุ - การเดินทางขึ้นและลงภูหินร่องกล้าทั้งสองเส้นทาง ควรใช้รถยนต์ที่มีกำลังสูงตรวจเช็คสภาพ คลัตช์ และเบรก ให้อยู่ในสภาพที่ดีมาก และต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ การใช้รถบัสใหญ่ขึ้นภูหินร่องกล้านั้นไม่เหมาะสมเนื่องจากเส้นทางคดเคี้ยวและสูงชัน ควรเปลี่ยนเป็นรถตู้จะสะดวกกว่า
• รถโดยสาร / รถไฟ เดินทางโดยรถไฟหรือรถโดยสารจากกรุงเทพฯ ไปพิษณุโลก แล้วต่อรถโดยสารสายพิษณุโลก-นครไทย รถจะออกจากสถานีขนส่งพิษณุโลกทุก 1 ชั่วโมง ระหว่างเวลา 6.11 - 18.11 น. ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง จากนั้นต่อรถสองแถวเล็กสายนครไทย-ภูหินร่องกล้า ซึ่งมีบริการวันละ 4 เที่ยว ระหว่างเวลา 8.11-15.31 น. ใช้เวลา 45 นาที หากเหมารถไป-กลับ คิดราคาประมาณ 611 บาทต่อวัน
• บริการรถเช่าขึ้นภูหินร่องกล้า นอกจากบริการรถสองแถวที่อำเภอนครไทยแล้ว หากนักท่องเที่ยวต้องการความสะดวกสบายอาจเช่ารถตู้ปรับอากาศจากตัวเมืองพิษณุโลกไปภูหินร่องกล้าโดยตรง
• ที่พักของอุทยานมีทั้งแบบเต็นท์และบ้านพัก ติดต่อสอบถามได้ที่ส่วนอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ โทร. 579–7223, 579–5734

Source : tourismthailand.org